เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer) คนรักศพ ตอนที่ 1

31 มี.ค. 56 13:11 น. / ดู 2,509 ครั้ง / 8 ความเห็น / 2 ชอบจัง / แชร์
เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ 

วันจันทร์ที่ 22 ก.ค. ปี  1991 วันเริ่มต้นการทำงานที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย ตำรวจสายตรวจสองนายแห่งเมืองมิลวอกี้ ขับรถลาดตะเวนรอบ ๆ มหาวิทยาลัยมาร์เควตต์ พื้นที่ละแวกนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเขตอาญากรรมสูงที่สุดแห่งหนึ่ง วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าว ความร้อนสูงและมีความชื้นในอากาศสูงมาก จนแทบทนไม่ไหว แถมผสมกับกลิ่นจากกองขยะและของเสียพวกฉี่ที่พวกจรจัดราดจนส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนอบอวลไปหมด
        เวลานั้นเป็นเวลาราว ๆ เที่ยงคืน ขณะที่ตำรวจสองนายยังคงนั่งอยู่ในรถสายตรวจตะเวนสอดส่ายไปมาหาสิ่งผิดปกติหรือบุคคลน่าสงสัยนั้น พลันก็มองเห็นชายผิวดำคนหนึ่งวิ่งกระหืบ กระหอบที่ข้อมือมีกุญแจมือห้อยต่องแต่งไปมา สองนายตำรวจคิดว่าอาจเป็นคนร้ายหนีจากการจับกุม จึงรีบขับรถดักหน้าควักเครื่องหมายตไรวจมาให้ดู
        "เฮ้ย หยุด นี่ตำรวจ ทำผิดแล้วหนีมาเรอะ ?"
        เมื่อชายผิวดำเห็นตำรวจ แทนที่จะแสดงความตกใจกลับแสดงความดีใจเหมือนเห็นนักบุญมาโปรดสัตว์ไม่ปาน เขายักไหล่พูดเร็วปรื๋อ

"ปะ เปล่า ครับ ผมชื่อ การ์ซี่ เอ็ดเวิร์ด คือผมเป็นอย่างนี้เพราะมี**บ้าคนหนึ่งจับผมใส่กุญแจไว้ในอพาร์ตเมนต์ของมัน"
        เรื่องราวของเอ็ดเวิร์ดค่อยพรั่นพูดออกมา...มันส่อเค้ากระเดือดไปทางรักร่วมเพศ
        "อย่าไปยุ่งกับมันดีกว่า"
        "ไปดูซักนิดก็แล้วกัน จะได้ไปจุดอื่นต่อ" ตำรวจคู่หูออกความเห็น
        "ไปเลยครับคุณตำรวจ ออกซ์ฟอร์ดพาร์ดเมนต์นี้เอง ห้อง 213"
        และตำรวจสองนายก็ได้เห็นภาพที่ลืมไม่ลงตลอดชั่วชีวิต


อ๊อกฟอร์ด อพาร์ทเมนต์ เลขที่ 924 เหนือ ถนน 25
        ก๊อก ก๊อก.......
        "ช่วยเปิดประตูด้วย นี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ"
        ผู้เปิดประตู เป็นชายผมบลอน์อายุราว 30 ต้น ๆ แต่งกายสะอาดเรียบร้อย
        "อ้าวสวัสดีครับ...... คุณตำรวจ"
        ชายผู้นั้นดูดี มาดนิ่ง พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว น้ำเสียงก็เป็นปกติ
        "มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับคุณตำรวจ"
        "เราเจอเพื่อนคุณ ไม่ทราบว่าคุณกรุณาไขกุญแจมือให้ชายคนนี้ด้วยครับ"       
        ชายผิวดำเป็นอิสระ แล้วรีบร้องบอกตำรวจทันที
        "มันจะฆ่าผมมันเอามีดเล่มโน้นแหละมาขู่ผม คุณตำรวจเชิญไปดูห้องนอนมันสิครับ"
        "เชิญครับ" ชายผมบลอน์เชิญตำรวจ  "อ๋อ........ผม เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ครับ เข้าไปข้างในก่อนสิครับ"



สองสายตรวจก้าวเขาไปในห้องสายตากวาดไปรอบ ๆ อย่างที่ถูกฝึกมา ห้องเล็กๆนั้นสะเอี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อย จนไม่อยากเชื่อว่าเป็นห้องชายโสด ปลาในตู้อ้วนแสดงถึงความเอาใจใส่
        แต่เมื่อก้าวลึก ๆ เข้าไปด้านใน กลิ่นเหม็นเน่าประหลาดผสมปนเปเตะเข้าจมูก พลันหนึ่งในสองได้เห็นกับรูปโพลารอยด์หลายใบที่หล่นบนพื้นห้องถึงกับซ็อค ชั่วขณะ มันเป็นภาพร่างคนถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ และภาพกะโหลกแช่อยู่ในตู้เย็น
        แต่เมื่อก้าวลึก ๆ เข้าไปด้านใน กลิ่นเหม็นเน่าประหลาดผสมปนเปเตะเข้าจมูก พลันหนึ่งในสองได้เห็นกับรูปโพลารอยด์หลายใบที่หล่นบนพื้นห้องถึงกับซ็อค ชั่วขณะ มันเป็นภาพร่างคนถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ และภาพกะโหลกแช่อยู่ในตู้เย็น
        เงียบไปอึดใจหนึ่ง แต่สำหรับตำรวจสายตรวจผู้เห็นภาพวิปริต มันช่างนานแสนนาน หลังจากรวบรวมสติอย่างเต็มกำลัง สายตรวจตะโกนบอกเพื่อนคู่หูละล่ำละลัก
"เฮ้ยจับ จับ.........จับมันใส่กุญแจมือเดี๋ยวนี้เร็วเข้า"
        ชายผมบลอน์ผู้สงบเสงี่ยมสะบัดมือเต็มแรงหนีกุญแจมือที่กำลังสับลงมา เขาสู้สุดชีวิต แต่ไม่นานก็จนมุมเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกฝึกมาชำนาญกว่า จากนั้นตำรวจนายหนึ่งก็รี่เข้าไปกระชากบานตู้เย็นออก แล้วเขาก็ร้องออกมาสุดเสียงต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาเปิดตู้เย็นเต็มแรงพลางตะโกนลั่น
        "เฮ้ยมันมีแต่หัวคนเต็มตู้เลย** เรียกกำลังสมทบด่วน"
        ไม่กี่อึดใจอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ก็คลาคล่ำไปด้วยรถต่าง ๆ ทั้งไฟสัญญาณไซเรน บนหลังคาตำรวจตัดกับสีฟ้าวาววับบนหลังคารถพยาบาล



    "ดิฉัน แอนน์ อี  ชว๊าทซ์ ผู้สื่อข่าว รายงานสดจากออกซ์ฟอร์ด อพาร์ตเมนต์ ห้อง 213  มิลวอกี ขอย่ำว่าดิฉันมาถึงที่นี้เป็นคนแรก ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังไม่กั้นเป็นพื้นที่เขตห้ามเข้า จากที่ได้เดินไปยังห้องหมายเลข 213 ดิฉันพบว่าภายในห้องเล็ก ๆ สะอาดเรียบร้อยมาก ตั้งแต่พื้นเตียงนอนเลยที่เดียว แม้แต่ตู้ปลาก็ใสสะอาดตัด แต่ห้องที่สะอาดนี้กลับกลิ่นเหม็นเน่าที่ตลบอบอวลไปหมด ที่มาของกลิ่นนี้ เราพบว่าเป็นตู้เย็นที่ใส่ศีรษะมนุษย์ไว้ถึง 3 หัว ผลึกไว้ในถุงพลาสติกกับกล่องเบ็คกิ้งโซดาอย่างแน่นหนา เจ้าของห้องพยายามพยายามดับกลิ่นนี้ด้วยการใส่โซดาปิ้งขนมปังเอาไว้หลาย ๆ กล่องด้วยกัน"

"นอกจากนี้เมื่อเปิดเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่ติดกับห้องนอนที่มีสายยูปิดไว้อย่างแน่นหนา เมื่อพังเข้าไปพบว่ามีหม้อใบใหญ่วางไว้ที่มุมด้านในห้องน้ำ และเมื่อเปิดฝาดูในหม้อทำกับข้าวก็พบมือเท้าและอวัยวะเพศชายที่ถูกสับเป็นท่อนๆ เป็นชิ้น ๆ และเริ่มเน่าเปลือยแล้วด้วย"
        "ที่ชั้นวางเราพบว่ามีกะโหลกศีรษะ 2 หัววางไว้บนชั้น  มีเหยือกแก้ว ขวดใส่เอธิล แอลกอฮอล คลอโรฟอร์ม กับฟอร์มาลดีไฮด์ดองใส่อวัยวะเพศชาย มีภาพจากภาพโพลารอยด์จำนวนมากในท่วงท่าต่าง ๆ ของเหยื่อที่เสียชีวิต มีทั้งภาพหัวคนตัดสด ๆ วางอยู่ในอ่างล้างจาน ภาพลำตัวที่ถูกตัดตั้งแต่คอลงไปถึงต้นขา  รูปกระดูกเชิงกราน บางภาพเป็นรูปเหยื่อที่พันธนาการเอาไว้ก่อนเสียชีวิต ร่างที่โยนไว้ในอ่างอาบน้ำ  ดิฉันได้ยินเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนพูดว่า นี้เป็นคืนนรกแตกโดยแท้"



    เกริ่นไปซะตั้งนาน  และนี้เป็นหัวข้อข่าวของ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์  เกย์กินคน ที่เป็นคดีที่โด่งดัง เป็นฆาตกรที่นักจิตวิทยาอาญาให้ความสนใจเป็นอย่างมากในการเลี้ยงดูบุตร และสาเหตุของความผิดปกติของการกินคน เพราะจากการสืบประวัติแทบไม่มีจุดบกพร่องให้เห็นเลยว่าทำไมถึงกลายเป็นฆาตกรไปได้ มันน่าสนใจจริง ๆ
        เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ถูกนำตัวไปโรงพัก เขาสารภาพเรื่องราวในการสังหารเหยื่อตลอด 13 ปี อย่างหมดเปลือก.........



  เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์  เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1960 ที่เมืองมิลวอกี้ เป็นบุตรของนายไลออนเนลและนางจอยซ์ ดาห์เมอร์ มีฐานะค่อนข้างร่ำรวย
        ตอนยังเล็ก ๆ กล่าวได้ว่าเขาเป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่ง มีนิสัยเหมือนเด็กทั่วๆ ไปที่ชอบเล่นของเล่นรักสัตว์ เป็นเด็กสุขภาพเรียบร้อยยกเว้นอย่างเดียวเขามักมีปัญหากับหูและคอเป็นประจำ
        เมื่อตอนเจฟฟรีย์อายุได้ 4 ขวบ ครอบครัวมีสาเหตุต้องย้ายไปที่อื่น เพราะพ่อเขาได้รับตำแหน่งใหม่ที่มหาวิทยาลัยไอโอวา เสตท ในรัฐโอไฮโอ เพื่อทำปริญญาเอก ที่นี้เองหนูน้อยเริ่มสังเกตเห็นงานอดิเรกของพ่อที่มักจะสะสมสต๊าฟสัตว์และกระดูกสัตว์เก็บไว้ดูเล่น
        หนูน้อยเจฟฟรีย์รู้สึกสนใจในเสียงแกร๊กๆ ระหว่างที่โครงกระดูกเหล่านี้ถูกกวาดมารวมกัน มือน้อยนั้นควานลงไปในกองกระดูกเสมือนหาของเล่นไม่ปาน แต่พ่อเขาเห็นกลับคิดว่านั้นเป็นเพียงสัญชาติญาณการเรียนรู้ของเด็กเท่านั้นไม่มีอะไรมากหรอกน่า
        ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์ณ์ในครั้งนั้นได้ทำให้ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ จดจำฝั่งใจไปจนโต
        และแล้วเงาหฤโหดได้ฝั่งเข้าไปในจิตวิญญาณของเจฟฟรีย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ปี 1966 ดาห์เมอร์นั้นอายุได้ 6 ขวบ เรียนอยู่ชั้นประถม ในช่วงนี้เขาเริ่มเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะโรคอัณฑะไม่เท่ากันต้องแก้ไขโดยการผ่าตัดสถานเดียว และช่วงนี้เองที่เริ่มเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับหนูน้อยดาห์เมอร์ที่ร่าเริง แจ่มใสอยู่เสมอ กลับค่อย ๆ กลายเป็นเด็กผอม เงียบขรึม ใจลอย ไม่กล้าสู้หน้าคนอื่น ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และเริ่มปรับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ไม่ได้ และเก็บตัว มีความเครียดทางอารมณ์ จนบางครั้งก็เหมือนหุ่นที่ปราศจากวิญญาณ


  ถึงแม้ว่าในช่วงนี้เจฟฟรีย์จะเป็นทุกข์ แต่ตรงกันข้างกับสมาชิกในครอบครัวที่มีความสุขมากในช่วงนี้ไลออนเนลสำเร็จปริญญาเอกไอโอวา ได้รับงานนักวิจัยทางเคมี ในอาครอนที่โอไฮโอและตอนนั้นจอยซ์แม่ของเขาตั้งท้องลูกคนที่สองชื่อเดวิด
        เมื่อดาห์เมอร์อายุ 15 ปี ก็เริ่มพิเรนด้วยการสะสมอวัยวะสัตว์ที่ตายแล้ว โดยเก็บไว้ในถึงขยะพลาสติก เมื่อเข้าชั้นมัธยม ดาห์เมอร์ก็พอมีกิจกรรมที่จะสังสรรค์กับคนอื่น ๆ บ้าง เช่นตีเทนนิส และเข้าชมรมหนังสือพิมพ์โรงเรียน เพื่อนร่วมชั้นสังเกตว่าเขามักปลีกตัวอยู่คนเดียวเสมอและมีท่าทางติดเหล้า บางครั้งก็แอบมากรึ๊บในห้องเรียนด้วย
        เมื่ออายุ 18 พ่อแม่ของเขาอย่าขาดกัน นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาอ้างว้างสับสนและโดดเดี่ยวมากขึ้น อาจกล่าวได้ว่านี้เป็นจุดหักเหครั้งสำคัญก็ว่าได้
        นั้นเป็นสาเหตุทำให้ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ กลายเป็นคนต่อต้านสังคมหนักยิ่งขึ้น
        พ่อของ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์เข้าใจดีว่าความเปลี่ยนแปลงสถานที่อยู่และบรรยากาศรอบตัวเป็นเหตุที่ทำให้เจฟฟรีย์ เปลี่ยนไป เพราะตัวเองก็มีประสบการณ์ในการปรับตัวในตอนเด็กมาแล้ว เขาจึงพยายามสอนเจฟฟรีย์ให้เอาชนะตัวเอง โดยหารู้ไม่ว่าเจฟฟรีย์ไปไกลเกินกว่าผู้เป็นพ่อจะตามทันแล้ว.........


เดือนเมษายนปี ค.ศ. 1967 พ่อของเขาซือบ้านใหม่ เจฟฟรีย์ชอบบ้านใหม่มากและเริ่มปรับตัวกับบ้านใหม่และโรงเรียนได้ดีขึ้น แต่ยังไม่เลิกพฤติกรรมต่อต้านสังคม
        มีอยู่ครั้งหนึ่งเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ได้ให้โหลใส่ลูกอ๊อดที่เขาไปซ้อนมาได้ให้ครูคนหนึ่งในโรงเรียนที่เขารักมากเพื่อเป็นที่ระลึก ต่อมาเขาทราบข่าวว่าครูได้ให้โหลนั้นกับลีเพื่อนสนิทของเขา เจฟฟรีย์ โกรธมากจึงแอบเข้าไปใส่น้ำมันเครื่องในโหลจนลูกอ๊อดตายจนเกลี้ยง
        เมื่อเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์อายุ 10 – 15 ปี จากเด็กที่เก็บตัวกลับกลายเป็นคนใหม่ที่มีความสับสนในการแสดงออก มีร่างกายล่ำสัน แข็งแกร่ง แต่ยังคงขี้อายเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับคนอื่น มีความเครียดในอารมณ์ตลอดเวลา ชอบเก็บตัวในห้องนอน เหม่อดูโทรทัศน์ หน้าตายไร้ความรู้สึก ไม่ใส่ใจคนรอบข้าง มีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างไม่รู้จุดหมาย
        เมื่ออายุ 18 ปี เจฟฟรีย์เริ่มมีพฤติกรรมประหลาด ชอบหิ้วถังพลาสติกไปเที่ยวเก็บซากสัตว์ที่ตายแล้วมาฝังสุสานส่วนตัวของเขา เริ่มแล่ซากสัตว์ที่ตายเพราะรถชน บางครั้งก็ตัดหัวสุนัขมาเสียบกับไม้แล้วมาปักลงดิน



  จากเด็กน่ารักสู่การเป็นฆาตกรโรคจิต

    ยิ่งเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์โตขึ้นเขายิ่งโดดเดี่ยวมากขึ้นทุกที เขาเริ่มพูดกลับตัวเองในโลกแห่งความฝันและเริ่มมีพฤติกรรมวิปริต
        เมื่อดาห์เมอร์อายุ 15 ปี ก็เริ่มพิเรนด้วยการสะสมอวัยวะสัตว์ที่ตายแล้ว โดยเก็บไว้ในถึงขยะพลาสติก เมื่อเข้าชั้นมัธยมไฮสกูล ดาห์เมอร์ก็พอมีกิจกรรมที่จะสังสรรค์กับคนอื่น ๆ บ้าง เช่น เข้าชมรมเทนนิส และเข้าชมรมหนังสือพิมพ์โรงเรียน เพื่อนร่วมชั้นสังเกตว่าเขามักปลีกตัวอยู่คนเดียวเสมอและมีท่าทางติดเหล้า บางครั้งก็แอบมากรึ๊บในห้องเรียน จนครูได้คาดโทษไว้ครั้งหนึ่งแต่งไม่เป็นผล จนต้องเชิญพ่อมารับรู้พฤติกรรมลูกชาย แต่ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น
        เมื่ออายุ 18 พ่อแม่ของเขาได้หย่าขาดกัน พ่อเขาได้แต่งงานใหม่กับชารี แต่นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาอ้างว้างสับสนและโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น อาจกล่าวได้ว่านี้เป็นจุดหักเหครั้งสำคัญก็ว่าได้
        ปีค.ศ. 1978 เจฟฟรีย์ได้ไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยโอไฮโอ เสตท แต่ยังไม่เลิกนิสัยชอบกินเหล้า จนผลการเรียนตกต่ำ
        และนี้เป็นปีที่เขาฆ่าคนครั้งแรก


ตอนที่ 1 ยังไม่จบเท่านี้ค่ะ มีต่อในคอมเม้น 1 นะคะ


Cr. Cammy

        ติดตามตอน2ด้วยนะคะ

โฉมหน้า เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์
แก้ไขล่าสุด 31 มี.ค. 56 13:16 | เลขไอพี : ไม่แสดง

อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)

ความคิดเห็น

#1 | ..- | 31 มี.ค. 56 13:15 น.

เขายอมรับว่าเขาหลงใหลในการร่วมรักทางทวารหนักมาจากสตีเฟ่น ฮิวค์คนนี้.........
มิถุนายน 1975  ขณะที่ดาห์เมอร์ขับรถอยู่ ดาห์เมอร์ได้รับคนโบกรถกลางทางชื่อ สตีเวน ฮิวค์ เป็นพวกรักร่วมเพศ เขาหลงเสน่ห์อย่างหัวปักหัวปำ เขาพาสตีเวนมาที่บ้าน ในขณะที่ไม่มีใครอยู่พวกเขาดื่มเบียร์และมี**กัน
นั้นทำให้ดาห์เมอร์ได้รับความสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาชอบรส**จากเพศเดียวกัน และจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ได้ผันตัวเป็นเกย์ตลอดมา
แต่เมื่อฮิวค์เสร็จธุระ จึงขอตัวกลับ ดาห์เมอร์เหมือนกำลังถูกทอดทิ้งกันอีกครั้งเหมือนกับพ่อแม่ทำกับเขามาแล้ว เขาคว้าดับเบิลยกน้ำหนักทุบตีที่หัวของสตีเวนจนเสียชีวิต ตายคามือ จากนั้นก็หั่นศพเป็นท่อน ๆ ใส่ในถุงขยะพลาสติกและเอาไปฝังในป่าละเมาะข้างหลังบ้าน
        ปีค.ศ. 1979 พ่อของเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์กังวลเรื่องลูกชายสุดที่รัดติดเหล้ามาก จนพยายามให้เจฟฟรีย์ หางานทำแทนที่วันๆ จะมานั่งกินเหล้าแทนข้าว จึงพาเจฟฟรีย์ไปสมัครเป็นทหาร โดยหวังว่าด้วยกฎระเบียบของทหารจะทำให้เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ดีขึ้น
        แต่เมื่อเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์รับราชการทหารได้ไม่นานก็ถูกไล่ออกเพราะถูกจับได้ว่ากินเหล้าจนไม่สามารถปฏิบัติราชการได้เป็นปกติ แล้วเมื่อกลับมาใช้ชีวิตเป็นพลเมืองอยู่ในบ้านอีกครั้ง เมื่อไปถึงบ้านด้วยความแค้น จึงแอบไปขุดเอากระดูกของฮิวค์มาทุบโดยค้อนจนป่นแล้วเอาไปโรยทิ้งในป่าราวกับขยะ เพื่อระบายอารมณ์ความแค้น
        เดือนตุลาคม 1981 เขาถูกจับฐานเมาสุราอาละวาด พ่อของเขาจึงส่งตัวให้ไปอยู่กับกับย่าที่เมืองเวสท์ อัลลิส รัฐคอนซิน
        แต่เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์อยู่สงบก็ถูกจับในข้อหาทำอนาจารด้วยการแก้ผ้าเดินโทงๆ ท่ามกลางผู้คน จนเขาอับอายไม่ออกจากข้างนอกเป็นเวลาถึง 4  ปี
เดือนกันยายน 1986 ดาห์เมอร์ถูกจับในข้อหาโชว์ของลับและสำเร็จความใคร่ด้วยมืออวดเด็กชาย 2 คน เขาโดนทัณฑ์อยู่หนึ่งปีก็พ้นโทษ
        และปีต่อมาเขาก็เจอเหยื่อรายที่สอง



เดือนกันยายน 1987 ดาห์เมอร์รู้จัก พนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งชื่อ สตีเวน เทามี ที่บาร์เกย์แห่งหนึ่ง หลังจากทั้งคู่ดื่มกันหนักก็พากันไปหาความสำราญที่ห้องพักของโทอูมิ จากคำรับสารภาพของดาห์เมอร์ภายหลังว่าเขาจำไม่ได้ว่าฆ่าโทอูมิอย่างไร รู้แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาโทอูมิก็สิ้นลมแล้ว มีเลือดติดปากเขาเกรอะกัง เขากลัวความผิด จึงนำร่างนั้นใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ จากนั้นนำไปยังบ้านของยายที่เขาอาศัยอยู่ และเริ่มกระทำสำเร็จความไคร่รสเพศกับศพ เมื่อเสร็จสมก็หั่นออกเป็นชิ้น ๆ และโยนใส่ถังขยะ



ยังไม่ถึง 3 เดือน ดาห์เมอร์ก็สอดส่ายหาเหยื่ออยู่หน้าบาร์เกย์ จนกระทั้งเห็นเด็กชายอายุ 14 ปี ชื่อ เจมี ด็อกซ์เทเตอร์ที่ชอบเดินแกว่งอยู่ด้านนอกของบาร์ เป็นนายตัวหาลูกค้าไปร่วมเพศด้วย ดาห์เมอร์หลอกล่อว่าจ่ายเงินให้ถ้ายอมไปกับเขาเพื่อให้เขาถ่ายรูปลามกเก็บไว้ และหลังจากวางยา และเสพสุข ถ่ายรูปเปลือย หลังจากนั้นก็รัดคอจนตายและเสพศพอีกครั้ง ก่อนที่จะตัดหันเป็นชิ้นๆ ไปทิ้ง แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อยที่เก็บกะโหลกและชิ้นส่วนบางอย่างของเจมี ด็อกซ์เทเตอร์เป็นที่ระลึกด้วย
        เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ เล่าว่าเขาได้แนวคิดนี้มาจากริชาร์ด เกียร์เรโร่ หนุ่มเม็กซิกันร่างบึ้ก ที่พบในบาร์เกย์ปลายเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1988
        ต่อมาเจฟฟรีย์ฆ่าคู่รักร่วมเพศอีก 4 ศพ แต่เขาจำชื่อไม่ได้ว่าเป็นใคร น่าแปลกที่ย่าเขาไม่ระแคระระคายในตัวหลานแม้แต่น้อย อย่างมากก็แค่มาบ่นว่าหนวกหูกับเสียงเอะอะเพราะความเมาของหลานกับเพื่อนชายที่มาด้วยนั้นเอง


ติดตามตอนต่อไปนะคะ


บางคนบอก GU ยังอ่านแนนนี่ ดอลล์ ไม่จบเลย 5555


cr. Cammy

ไอพี: ไม่แสดง

#2 | mbjjw | 31 มี.ค. 56 15:19 น.

อ่านจบละ ยาวซะ  โรคจิตมาก

ไอพี: ไม่แสดง

#3 | Yolyo | 31 มี.ค. 56 15:42 น.

น่ากลัว 

ไอพี: ไม่แสดง

#5 | `kate | 31 มี.ค. 56 16:09 น.

สนุกอะะ ติดตามๆ -_-/

ไอพี: ไม่แสดง

#6 | เซมารู__ช๊อคก้าา!!* | 31 มี.ค. 56 17:51 น.

กระทู้มีสาระมากเลย จขกท.
อ่านไปเหมือนกับได้ดูหนังโรคจิตเรื่องหนึ่ง 

อ่านมาหลายบทความทำให้นึกได้ว่า ปมปัญหาเกิดจากสภาพตอนเด็กจริงๆ 

ไอพี: ไม่แสดง

#7 | ๙๙. | 1 เม.ย. 56 18:09 น.

โหดดดเฟ่อ 

ไอพี: ไม่แสดง

#8 | whiteboิy | 1 เม.ย. 56 20:25 น.

ไอพี: ไม่แสดง

แสดงความคิดเห็น

จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google