#รีวิวอัลบั้ม i like it when you sleep for you are so beautiful yet so unaware of it - The 1975
11 มี.ค. 59 14:19 น. /
ดู 662 ครั้ง /
1 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
hashtag:
#รีวิวอัลบั้ม
ป็อบประชดประชัน
Intro
.
.
ต้องยอมรับเลยว่า วงการเพลงร็อคสมัยนี้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ วงร็อคอัลเทอเนทีฟหลายวงฉีกแนวไปทำเพลงป็อบ พึ่งพาดนตรีอิเล็กโทรนิคมากขึ้น ตอนแรกๆอาจรับไม่ได้ แต่ตอนนี้น่าจะกลายเป็นเรื่องที่เคยชินสำหรับนักฟังเพลงไปแล้วล่ะครับ แต่การที่ศิลปินตัดสินใจจะเบนสายไปทางนี้ก็ต้องตัดสินใจอย่างหนักเช่นกันครับ ถ้ามีความสามารถในการพัฒนาลูกเล่นทางดนตรีและมีไอเดียในการคิดคอนเซปต์เพลงที่ดีพอ คุณก็ได้ไปต่อ แต่ถ้ามีลูกเล่นที่ไม่เด็้ดพอ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำตามกระแส ซึ่งส่งผลไม่ดีในอนาคตอย่างแน่นอน วงนี้ก็เช่นกันครับ The 1975 วงร็อคอัลเทอเนทีฟจากเมืองผู้ดีอังกฤษแมนเชสเตอร์ ทีหันเหมาทาง Pop ตามวงอื่นๆกับเค้าบ้าง perception แรกที่ผมเห็นจากสัญลักษณ์ใหม่ของทางวงที่เปลี่ยนจากธีมมืดๆลึกลับ มาเป็นหลอดนีออนสีชมพูแบ็คกราวขาวๆสะอาดสะอ้าน เป็นอะไรที่อดห่วงไม่ได้เลยว่า วงนี้คงไหลไปตามกระแสป็อบเต็มรูปแบบแล้วล่ะมั้ง แต่ถ้าลองมองในอีกมุมนึงมันคงเป็นอะไรที่ท้าทายแฟนเพลงมากพอสมควร คุณจะยอมฟังผลงานเค้าต่อหรือไม่ ถ้าหากอุดมการณ์ของวงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ จะดีเหรอ ?
1
.
.
https://www.youtube.com/watch?v=TJ5bZuUlftI
https://www.youtube.com/watch?v=hXaU0QzByIM
เปิดด้วยอินโทร The 1975 อันน่าคุ้นเคย กอสเปลมาเต็มให้อารมณ์เฉิดฉายไม่ลึกลับเหมือนชุดที่แล้ว Love me ซิงเกิ้ลเปิดตัวที่มาพร้อมกับรีฟกีตาร์จี๊ดจ๊าดสุดฤทธิ์ เนื้อหาก็ใช่ย่อย จิกกัดโลกโซเชี่ยลที่ออกแนวจอมปลอมได้แสบสัน พอบ่งบอกภาพลักษณ์โดยรวมของอัลบั้มชุดนี้ได้ ส่วนเอ็มวี**เพี้ยนหลุดโลก ต่อด้วย UGH ! เพลงนี้ first impression เข้าอย่างจัง อิเล็กโทรป็อบเรียบๆแต่แฝงลูกเล่นได้น่าสนใจมากๆ เมโลดี้ฟังเพลินจนลืมเนื้อหาไปเลยว่า เพลงมันว่าด้วยเรื่องประสบการณ์ที่แมตกำลังจะเลิกพี้โคเคน ในขณะเดียวกันต้องต่อสู้กับอาการลงแดงไม่ได้พี้โคเคนให้ผ่านพ้นไปได้ A Change Of A Heart ซาวนด์ 80 มาแบบช้าๆเมโลดี้จั๊กกะจี้ เสียงร้องของแมตมีความละเมียดละไม แฟนเพลงน่าจะชื่นชอบได้ไม่ยาก เริ่มกลับสู่สไตล์อันคุ้นเคยในเพลง She's American เพลงจังหวะคึกคัก ดิสโก้ป็อบ ท่อนฮุกติดหู การเล่นคอร์ดในเพลงนี้ยังคงความเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเก้าเจ็ดห้าเหมือนในชุดที่แล้ว เพิ่มลูกเล่นด้วยแซ็คโซโฟนเป็นการตบท้ายเพลง ต่อด้วยแจ๊สช้าๆ If I Believe You มาแบบเงียบๆชิวๆ คอรัสเด่น Matty ยังคงเล่นเนื้อหาเสียดสีความเชื่อทางศาสนาที่เจ้าตัวคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ ถือเป็นเซอร์ไพร์สแฟนเพลงที่จะได้เห็นพวกเขาทำเพลงแจ๊สในแบบที่ไม่เคยฟังมาก่อน
2
.
.
ทางวงยังคงใส่เพลงบรรเลงมาให้เราฟังคั่นเวลาเล่นๆ เพิ่มความเป็น abstract ลงในอัลบั้ม แต่ละเพลงยาวใช้ได้เลยทีเดียว เริ้่มที่ Please Be Naked เปียโนบรรเลงฟังดูไม่หวาบหวามเอาเสียเลย แต่ถ้าลองตั้งใจฟังดีๆ จะมีเสียงครวญครางบนเตียงแบบเบาๆไม่โฉ่งฉ่าง โดนดนตรีกลบซะเยอะ LostMyHead เป็น Instrument ที่ผมชอบมากที่สุดในอัลบั้มชุดนี้แล้วล่ะครับ เพราะมีไล่ระดับทางดนตรีได้ดีมากๆ แรกๆมาแบบเรียบๆมีซาวนด์กีตาร์คอยเป็นแบ็คกราวพลางๆบวกเสียงร้องเบาๆมันให้ความรู้สึกเท่ห์ และเพิ่มด้วยรีฟกีตาร์โหยหวนแรงๆสร้างจุดพีค มันให้ความรู้สึกที่ไม่น่าเบื่อแต่อย่างใด ปกติผมโคตรเบื่อแทร็คที่เป็นเพลงบรรเลงเลยล่ะ แต่แทร็คบรรเลงแทร็คนี้ทำให้ผมสะดุด จนไม่อยากกดข้ามไปเลยล่ะครับ ผิดกับแทร็คที่แล้ว Please Be Naked กับ i like it when you sleep .... Title Track อัลบั้มชุดนี้ที่นอกจากจะยาวแล้ว ยังน่าเบื่ออีกต่างหาก ยิ่งแทร็คหลังนี่**คล้าย Owl City ชัดๆ
3
.
.
https://www.youtube.com/watch?v=FSnAllHtG70
มาพูดถึงเพลงเต็มกันดีกว่าเริ่มจาก The Ballad Of Me And My Brain ดนตรีค่อนข้างมั่วๆไปนิดนึง ทางวงอาจจะตั้งใจให้ดนตรีมันไปในทิศทางนี้เพื่อให้คอนเซปต์ของเพลงที่ Matty จะต้องต่อสู้กับความรู้สึกอันสับสนและกระวนกระวายของเขาก็เป็นไปได้ Somebody Else อิเล็กโทรป็อบกลิ่นอายอาร์แอนด์บี ให้อารมณ์เหงาๆ Matt ถ่ายทอดอารมณ์เฮิร์ทได้เป็นอย่างดี เกลียดจริงๆเวลาที่เห็นแฟนเก่าของเราดันไปควงคนอื่นเสียแล้ว เพลงนี้น่าจะโดนใจใครหลายคน โหยหาความรักครั้งใหม่กับ Loving Someone ให้อารมณ์ดาร์กพอๆ เพิ่มความเป็นฮิพฮอพเข้าไปพอเป็นพิธี แปลกใหม่ดี The Sound ลีดซิงเกิ้ลเพลงสไตล์นิวเวฟ ป็อบได้สุดตรีนมาก ฟังครั้งแรกกูนึกว่าเพลงประกอบการ์ตูนวอล์ท ดิสนี่ย์ แถมเนื้อหานี่โคตรเสียดสี Haters สุดๆเลยล่ะครับ This Must Be My Dream เพลงจังหวะคึกคัก อินโทรทำออกมาได้งดงาม กรุ้งกริ้งมุ้งมิ้งได้อีก ฟังแล้วสดใสซาบซ่า
4
.
.
3 แทร็คสุดท้ายของชุดนี้น่าจะเป็นอะไรที่เซอร์ไพร์สแฟนเพลงอยู่เหมือนกัน เพราะป็อบเต็มสูบมากๆ แทบไม่ต่างอะไรจากวงบอยแบรนด์มากกว่าวงดนตรีด้วยซ้ำ เริ่มจาก Paris ป็อบจังหวะกลางๆ เมโลดี้สวยๆ เพลงนี้ฟังผิวเผินแล้วน่าจะเป็นอะไรที่โรแมนติก ชวนแฟนไปเที่ยวปารีสอะไรยังงี้ แต่เนื้อหาจริงๆแล้วมันไม่โรแมนติกเอาเสียเลยครับ เหมือน Matty พยายามจะไปปารีสอีกครั้ง เพื่อหลีกหนีความยุ่งเหยิงในชีวิตที่ถาโถมเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรักที่ไม่ค่อยราบรื่น ปัญหาติดยาที่ยังคงรบกวนจิตใจไม่หยุดหย่อน Paris จึงเป็นเมืองที่แมตตี้พอรำลึกถึงเศษเสี้ยวความทรงจำดีๆเหล่านั้นได้ ต่อด้วย Nana อคลูสติกใสๆละเมียดละมัยแต่เนื้อหาแอบเศร้า เพราะแมตตี้แต่งเพลงนี้อุทิศให้กับยายที่จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ ปิดท้ายด้วย She Lays Down อคลูสติกโฟล์กซอง เคล้าด้วยเสียงร้องเบาๆจากแมตตี้ ออกแนวละม้ายคล้าย Ed Sheeran อยู่ไม่น้อย โดยเพลงนี้แมตตี้ได้แรงบันดาลใจมาจากแม่ของแมตตี้ที่เผชิญปัญหาโรคซึมเศร้าและติดโคเคนงอมแงม ถึงเพลงนี้จะออกแนวชิวๆ แต่ผู้ฟังก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าสะเทือนใจที่มาจากเพลงนี้ได้โดยไม่รู้ตัว ปิดอัลบั้มด้วยความรู้สึกเศร้าเปล่าเปลี่ยว ทุกข์ระทมขมขื่นสุดๆ
Outro
.
.
การฉีกภาพลักษณ์จากอัลเทอเนทีฟป็อบพังค์มาเป็นป็อบเสียงสังเคราะห์เต็มรูปแบบครั้งนี้ ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่งเลยล่ะครับ สัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากผลงานป็อบทั่วๆไปอย่างแน่นอน โปรดักชั่นมันไม่ได้มาจาก Dr.Luke , Max Martin หรือ Ryan Tedder แต่อย่างใด เราสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นป็อบอินดี้ได้อย่างชัดเจน มันเป็นเพลงป็อบที่ไม่ใช่ป็อบทั่วๆไปที่ว่าด้วยเรื่องความรักความใคร่เพียงอย่างเดียว มันแฝงไปด้วยไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างอันตราย เอาเรื่องยาเสพติดกับเรื่องเพศที่ออกแนวสองแง่สองง่ามมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่เหมาะกับลูกเล็กเด็กแดงเลยล่ะ
The 1975 เลือกที่จะคงเอกลักษณ์ของตัวเองไม่หนีไปไหน สังเกตได้จากเนื้อหาของเพลงที่ยังคงความเป็นเพลย์บอยลั้ลลา ใช้ชีวิตแบบร็อคสตาร์รักสนุกไม่ผูกพันธ์กับใครทั้งสิ้น ด้านภาคดนตรีโดยรวมแทนที่จะเอาดัพเสต็บหรืออีดีเอ็ม ทางวงเลือกที่จะผสมดนตรีอิเล็กโทรป็อบเข้ากับดนตรีดิสโก้ยุค 80 บ้าง โซล อาร์แอนด์บี กอสเปล แจ๊ส และแอมเบี้ยนมาผสมปนเปกัน ไม่ได้ตามชาวบ้านซะทีเดียวครับ ลูกเล่นที่มีหลากหลายรูปแบบ หยิบโน่นหยิบนี่มาผสมกัน เสียงสังเคราะห์ที่ไม่ซ้ำรูปแบบ และเนื้อหาที่มีทั้งสนุก แสบสันต์ ดาร์ก เหงา เศร้าปะปนกันไป มันทำให้เพลงในชุดนี้มีความหลากหลาย มีสีสันมากกว่าเดิม ไม่ซ้ำซากจำเจ ทำให้ผู้ฟังสามารถเพลิดเพลินได้ตั้งแต่ต้นจนจบ นี่แหละคือข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าอัลบั้มชุดแรกที่ไปทางพังค์ อีโม ป็อบร็อคเพียงอย่างเดียว ข้อเสียของอัลบั้มชุดนี้คงอยู่ที่ instrument เนี่ยแหละครับ มันออกแนวเวิ่นเว้อ ยืดยาดไป ออกแนวฆ่าเวลาซะมากกว่า ถ้าผมมีเวลาจำกัด ผมเลือกที่จะกดข้ามเพลงเหล่านั้นเลยล่ะครับ อย่างไรก็ดีผลงานชุดนี้มีดีอยู่พอสมควร ไมได้ให้ความรู้สึกที่ฉาบฉวยจนเกินไป ฟังได้เรื่อยๆในระยะยาว ถึงการถ่ายทอดทางด้านเนื้อหาอาจจะไม่ลึกซึ้งมากพอจนเกิดจุดพีคในความรู้สึก แต่มันก็เป็นความบันเทิงฟังแล้วไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าอย่างแน่นอน
การเปลี่ยนแนวเพลงในครั้งนี้ทำให้ผมเดาทางยากเหมือนกันว่า The 1975 จะไปได้ไกลพอรึเปล่า ขึ้นอยู่ว่า ปรับตัวเก่งพอรึเปล่า
Top Tracks : UGH ! , Love Me , Somebody Else , If I Believe You , A Change Of A Heart , She's American , LostMyHead
Give 7.5/10
ฝากกด Like Page Facebook ด้วยครับ : https://www.facebook.com/fungpaifungma
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 7
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google