อธิบายขยายความเรื่องของน้ำมันถ้าจะมันหยด
27 เม.ย. 59 17:30 น. /
ดู 537 ครั้ง /
0 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
ตามที่ รองศาสตราจารย์ทวี ผลสมภพ ได้นำเสนอบทความผ่านคอลัมน์ ]น้ำมันถ้าจะมันหยด! [อ่านได้ตามลิ้งค์
http://www.matichon.co.th/news/113707] เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 21 เมษายน 2559 นั้น ปตท.ขอขอบคุณสำหรับข้อสังเกตในประเด็นต่างๆ และพร้อมรับฟังเพื่อชี้แจงให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องของรักษาการประธานผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น ปตท.ได้เผยแพร่การชี้แจงผ่านทาง www.pttplc.com และ facebook : pttnews ดังนั้น จึงขอชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวกับราคาน้ำมัน ดังนี้
ประเทศไทยมีปริมาณน้ำมันดิบน้อยมากในอันดับที่ 48 เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในโลก แต่เรากลับใช้น้ำมันในปริมาณมากเป็นอันดับที่ 18 มากกว่าที่ผลิตได้
ดังนั้น จึงต้องนำเข้าเพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ เป็นปริมาณถึง 85% ของปริมาณการใช้ทั้งหมด เป็นมูลค่าเก้าแสนกว่าล้านบาทต่อปี ประเทศไทยจึงเป็นนับเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน (net importer)
http://www.matichon.co.th/wp-conten.........68x576.jpg[/img
น้ำมันถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) ที่มีการซื้อขายกันทั่วโลก ถึงแม้ไทยจะมีโรงกลั่นในประเทศ แต่ก็ไม่สามารถตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปเองได้ เพราะน้ำมันดิบที่ใช้ในการกลั่น มาจากการนำเข้าเป็นหลักด้วยราคาตลาด เมื่อกลั่นได้น้ำมันสำเร็จรูป จึงต้องตั้งราคาขายที่อ้างอิงจากราคาตลาด และตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียก็คือตลาดสิงคโปร์ ซึ่งมีผู้ค้าน้ำมันมากกว่า 325 บริษัท ทำการซื้อขายกัน ราคาตลาดสิงคโปร์ไม่ใช่ราคาที่กำหนดขึ้นโดยประเทศสิงคโปร์ หรือราคาขายที่สถานีบริการในสิงคโปร์ แต่เป็นราคากลางที่ถูกกำหนดโดยกลไกตลาดที่ผู้ค้าน้ำมันตกลงซื้อขายกัน
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทยประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ
1.เนื้อน้ำมันที่มาจากโรงกลั่น ซึ่งมีอัตราส่วนมากที่สุดประมาณ 60%
2.ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในอัตราส่วน 35%
3.ค่าการตลาด ในอัตราส่วน 5% ซึ่งยังไม่ใช่กำไร เพราะยังต้องหักค่าบริหารจัดการของสถานีบริการ
ดังนั้น ราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศไทยจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับมาเลเซียได้ เพราะโครงสร้างราคาแตกต่างกัน เพราะประเทศมาเลเซียเป็นประเทศส่งออกน้ำมันเป็นหลัก รัฐบาลจึงมีรายได้สามารถอุดหนุนราคาโดยไม่ต้องเรียกเก็บภาษีหรือกองทุนฯ ซึ่งปัจจุบันมาเลเซียกำลังพิจารณายกเลิกเพื่อลดภาระการเงินของประเทศ
ปตท.ในฐานะบริษัทพลังงานของไทย กำหนดราคาอย่างสมดุลระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบสถานีโดยมีค่าการตลาดเฉลี่ยเพียง 1.50 บาทต่อลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้ค้ารายอื่น ปตท.ปรับขึ้นช้ากว่าผู้ค้ารายอื่น 15 ครั้ง ครั้งละ 1-10 วัน รวมทั้งหมด 33 วัน (ปี 2558)
http://www.matichon.co.th/news/113707] เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 21 เมษายน 2559 นั้น ปตท.ขอขอบคุณสำหรับข้อสังเกตในประเด็นต่างๆ และพร้อมรับฟังเพื่อชี้แจงให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องของรักษาการประธานผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น ปตท.ได้เผยแพร่การชี้แจงผ่านทาง www.pttplc.com และ facebook : pttnews ดังนั้น จึงขอชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวกับราคาน้ำมัน ดังนี้
ดังนั้น จึงต้องนำเข้าเพิ่มเติมเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ เป็นปริมาณถึง 85% ของปริมาณการใช้ทั้งหมด เป็นมูลค่าเก้าแสนกว่าล้านบาทต่อปี ประเทศไทยจึงเป็นนับเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน (net importer)
http://www.matichon.co.th/wp-conten.........68x576.jpg[/img
น้ำมันถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) ที่มีการซื้อขายกันทั่วโลก ถึงแม้ไทยจะมีโรงกลั่นในประเทศ แต่ก็ไม่สามารถตั้งราคาน้ำมันสำเร็จรูปเองได้ เพราะน้ำมันดิบที่ใช้ในการกลั่น มาจากการนำเข้าเป็นหลักด้วยราคาตลาด เมื่อกลั่นได้น้ำมันสำเร็จรูป จึงต้องตั้งราคาขายที่อ้างอิงจากราคาตลาด และตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียก็คือตลาดสิงคโปร์ ซึ่งมีผู้ค้าน้ำมันมากกว่า 325 บริษัท ทำการซื้อขายกัน ราคาตลาดสิงคโปร์ไม่ใช่ราคาที่กำหนดขึ้นโดยประเทศสิงคโปร์ หรือราคาขายที่สถานีบริการในสิงคโปร์ แต่เป็นราคากลางที่ถูกกำหนดโดยกลไกตลาดที่ผู้ค้าน้ำมันตกลงซื้อขายกัน
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทยประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ
1.เนื้อน้ำมันที่มาจากโรงกลั่น ซึ่งมีอัตราส่วนมากที่สุดประมาณ 60%
2.ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในอัตราส่วน 35%
3.ค่าการตลาด ในอัตราส่วน 5% ซึ่งยังไม่ใช่กำไร เพราะยังต้องหักค่าบริหารจัดการของสถานีบริการ
ดังนั้น ราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศไทยจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับมาเลเซียได้ เพราะโครงสร้างราคาแตกต่างกัน เพราะประเทศมาเลเซียเป็นประเทศส่งออกน้ำมันเป็นหลัก รัฐบาลจึงมีรายได้สามารถอุดหนุนราคาโดยไม่ต้องเรียกเก็บภาษีหรือกองทุนฯ ซึ่งปัจจุบันมาเลเซียกำลังพิจารณายกเลิกเพื่อลดภาระการเงินของประเทศ
ปตท.ในฐานะบริษัทพลังงานของไทย กำหนดราคาอย่างสมดุลระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบสถานีโดยมีค่าการตลาดเฉลี่ยเพียง 1.50 บาทต่อลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้ค้ารายอื่น ปตท.ปรับขึ้นช้ากว่าผู้ค้ารายอื่น 15 ครั้ง ครั้งละ 1-10 วัน รวมทั้งหมด 33 วัน (ปี 2558)
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย Windows 7
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
ยังไม่มีความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google