ธุรกิจในสนามบิน ทางออกให้กับเศรษฐกิจแบบยั่งยืน
15 ต.ค. 65 20:47 น. /
ดู 1,198 ครั้ง /
1 ความเห็น /
0 ชอบจัง
/
แชร์
ถ้าใครที่ยังคงติดตามกับประเด็นการเยียวยาผู้ประกอบการในสนามบิน ที่มีการยกเว้นการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ ก็จะทราบกันดีกว่า
"มาตรการเยียวยา กำลังจะสิ้นสุดลงในเดือน มี.ค. 65 นี้" และคำถามต่อไปคือ ทอท. จะยังคงมีการเยียวยากันต่อหรือไม่?
เรามาวิเคราะห์ประเด็นนี้กันครับ
จากสถานการณ์การระบาดของโควิด
รายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2565
ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จำนวน 1,962 ราย จำแนกเป็น
ผู้ป่วยในประเทศ 1,962 ราย
ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ - ราย
ผู้ป่วยสะสม 2,365,077 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
---------
หายป่วยกลับบ้าน 2,157 ราย
หายป่วยสะสม 2,364,336 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
ผู้ป่วยกำลังรักษา 24,323 ราย
---------
เสียชีวิต 32 ราย
เสียชีวิตสะสม 9,661 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
https://www.facebook.com/informationcovid19/
และเนื่องจากตัวเลขแบบนี้แหละก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศยังไม่สามารถที่จะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่จริงๆ� ถึงแม้ว่าภาครัฐจะมีมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจออก มาผ่านโครงการคนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน ก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะพลิกเศรษฐกิจกลับมาได้ อย่างที่ทุกท่านทราบกันแหละครับ สิ่งเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับคืนมาได้คือการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว
ทีนี้มาดูสถานการณ์โลกกันบ้างครับ ก็คงหนีไม่พ้นสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นไป และยังไม่มีทีท่าว่าจะปรับลดลงมาเลย� ส่งผลให้ค่าครองชีพในประเทศเราปรับตัวสูงขึ้นเป็น 100 กว่าเหรียญไปแล้ว
�
เห็นไหมครับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศ ไม่ได้เอื้อให้เศรษฐกิจของไทยและชาวโลกได้ลืมตาอ้าปากได้เลย
ขนาดชาวอังกฤษยังได้รับคำเตือนให้เตรียมตัวรับ ปีที่เศรษฐฏิจที่ลำบากที่สุดในชีวิตของคุณ
แล้วจะนับประสาอะไรกับประเทศไทยแลนด์ของเราหละ
�
��������� จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ ทอท. จะมีการต่ออายุการเยียวยาผู้ประกอบการในสนามบินต่อไปอีก แต่ไม่แน่ใจเรื่องของระยะเวลาว่าจะเพิ่มสัญญาต่อไปอีกเมื่อไหร่ แต่ถ้าให้เดาผมว่ามันคงไม่น่าจะต่ำกว่า 2 ปี แน่นอน
ถ้ามีการต่อสัญญาการเยียวยาออกไป ผมว่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตรงกันข้ามผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่รัฐควรจะทำต่อไปด้วยซ้ำ เพราะภาคส่วนของการท่องเที่ยว และธุรกิจสนามบินเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรกๆ หลังจากที่มีนโยบายปิดประเทศ และที่สำคัญมาตรการการกระตุ้นและเยียวยาเศรษฐกิจรัฐบาลไหนๆ เขาก็ทำกันครับ
�
ยกตัวอย่าง
สหรัฐอเมริกากับแผน "Build Back Better"
เป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่และอายุยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ คือกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 28% ของ GDP) เพื่อเยียวยารายได้ของแรงงานในระยะสั้น และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเศรษฐกิจในช่วง 8 - 10 ปีข้างหน้า โดยมาตรการดังกล่าวแบ่งเป็นแผนงาน American Rescue Plan (ARP) 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8.9% ของ GDP ที่มุ่งเยียวยาแรงงานและภาคธุรกิจ อาทิ การจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือร้านอาหาร (Restaurant Revitalization Fund หรือ RRF) ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อมแห่งสหรัฐอเมริกา ที่เปิดให้ร้านอาหารหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องเข้ามาลงทะเบียนเพื่อรับเงินอุดหนุนกว่า 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปในช่วงการระบาดโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าวก่อนเดือนมีนาคม 2566 และไม่จำเป็นต้องคืน หากใช้ในการจ่ายค่าเช่า เงินเดือนพนักงานเป็นต้นทุนซื้อสินค้า หรือใช้ในการซ่อมแซม
�
สหภาพยุโรปฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยกองทุน
�สำหรับสหภาพยุโรปได้ดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยยึดแนวทำงใกล้เคียงกับสหรัฐฯ แต่ทำในลักษณะการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวแบบเฉพาะเจาะจง และฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม โดยในส่วนแรก มีการจัดตั้ง National Tourism Fund ด้วยวงเงิน 2 พันล้านยูโร เพื่อเข้าซื้อโรงแรมหรือหุ้นของธุรกิจโรงแรม โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
และยังมีอีกหลายๆ ประเทศตามข้อมูลนี้ครับ
�
�
https://www.bot.or.th/Thai/BOTMagazine/Pages/256403GlobalTrend.aspx
จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของการเยียวยาส่วนใหญ่ในประเทศต่างๆ จะเน้นเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน เน้นกระตุ้นการท่องเที่ยว ธุรกิจร้านค้า SME ในประเทศ ประคองให้เศรษฐกิจยังคงเดินต่อไปได้ ภายใต้วิถีการดำเนินชีวิตแบบใหม่ (New normal) ดังนั้นใครที่ติดตามประเด็นที่ทาง ทอท. เยียวยาผู้ประกอบการ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ น่าจะเข้าใจได้ดี การเยียวยาไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือทางออกให้กับเศรษฐกิจ เพื่อประคองผู้ประกอบการทุกภาคส่วนให้เดินหน้าไปต่อด้วยกันได้ครับ
อ่านต่อได้ที่ https://board.postjung.com/1414004
"มาตรการเยียวยา กำลังจะสิ้นสุดลงในเดือน มี.ค. 65 นี้" และคำถามต่อไปคือ ทอท. จะยังคงมีการเยียวยากันต่อหรือไม่?
เรามาวิเคราะห์ประเด็นนี้กันครับ
จากสถานการณ์การระบาดของโควิด
รายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2565
ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จำนวน 1,962 ราย จำแนกเป็น
ผู้ป่วยในประเทศ 1,962 ราย
ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ - ราย
ผู้ป่วยสะสม 2,365,077 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
---------
หายป่วยกลับบ้าน 2,157 ราย
หายป่วยสะสม 2,364,336 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
ผู้ป่วยกำลังรักษา 24,323 ราย
---------
เสียชีวิต 32 ราย
เสียชีวิตสะสม 9,661 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
https://www.facebook.com/informationcovid19/
และเนื่องจากตัวเลขแบบนี้แหละก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศยังไม่สามารถที่จะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่จริงๆ� ถึงแม้ว่าภาครัฐจะมีมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจออก มาผ่านโครงการคนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน ก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะพลิกเศรษฐกิจกลับมาได้ อย่างที่ทุกท่านทราบกันแหละครับ สิ่งเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับคืนมาได้คือการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว
ทีนี้มาดูสถานการณ์โลกกันบ้างครับ ก็คงหนีไม่พ้นสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นไป และยังไม่มีทีท่าว่าจะปรับลดลงมาเลย� ส่งผลให้ค่าครองชีพในประเทศเราปรับตัวสูงขึ้นเป็น 100 กว่าเหรียญไปแล้ว
�
เห็นไหมครับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศ ไม่ได้เอื้อให้เศรษฐกิจของไทยและชาวโลกได้ลืมตาอ้าปากได้เลย
ขนาดชาวอังกฤษยังได้รับคำเตือนให้เตรียมตัวรับ ปีที่เศรษฐฏิจที่ลำบากที่สุดในชีวิตของคุณ
แล้วจะนับประสาอะไรกับประเทศไทยแลนด์ของเราหละ
�
��������� จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ ทอท. จะมีการต่ออายุการเยียวยาผู้ประกอบการในสนามบินต่อไปอีก แต่ไม่แน่ใจเรื่องของระยะเวลาว่าจะเพิ่มสัญญาต่อไปอีกเมื่อไหร่ แต่ถ้าให้เดาผมว่ามันคงไม่น่าจะต่ำกว่า 2 ปี แน่นอน
ถ้ามีการต่อสัญญาการเยียวยาออกไป ผมว่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ตรงกันข้ามผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่รัฐควรจะทำต่อไปด้วยซ้ำ เพราะภาคส่วนของการท่องเที่ยว และธุรกิจสนามบินเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเป็นลำดับแรกๆ หลังจากที่มีนโยบายปิดประเทศ และที่สำคัญมาตรการการกระตุ้นและเยียวยาเศรษฐกิจรัฐบาลไหนๆ เขาก็ทำกันครับ
�
ยกตัวอย่าง
สหรัฐอเมริกากับแผน "Build Back Better"
เป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่และอายุยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ คือกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 28% ของ GDP) เพื่อเยียวยารายได้ของแรงงานในระยะสั้น และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเศรษฐกิจในช่วง 8 - 10 ปีข้างหน้า โดยมาตรการดังกล่าวแบ่งเป็นแผนงาน American Rescue Plan (ARP) 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8.9% ของ GDP ที่มุ่งเยียวยาแรงงานและภาคธุรกิจ อาทิ การจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือร้านอาหาร (Restaurant Revitalization Fund หรือ RRF) ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อมแห่งสหรัฐอเมริกา ที่เปิดให้ร้านอาหารหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องเข้ามาลงทะเบียนเพื่อรับเงินอุดหนุนกว่า 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปในช่วงการระบาดโดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าวก่อนเดือนมีนาคม 2566 และไม่จำเป็นต้องคืน หากใช้ในการจ่ายค่าเช่า เงินเดือนพนักงานเป็นต้นทุนซื้อสินค้า หรือใช้ในการซ่อมแซม
�
สหภาพยุโรปฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยกองทุน
�สำหรับสหภาพยุโรปได้ดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยยึดแนวทำงใกล้เคียงกับสหรัฐฯ แต่ทำในลักษณะการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวแบบเฉพาะเจาะจง และฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม โดยในส่วนแรก มีการจัดตั้ง National Tourism Fund ด้วยวงเงิน 2 พันล้านยูโร เพื่อเข้าซื้อโรงแรมหรือหุ้นของธุรกิจโรงแรม โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
และยังมีอีกหลายๆ ประเทศตามข้อมูลนี้ครับ
�
�
https://www.bot.or.th/Thai/BOTMagazine/Pages/256403GlobalTrend.aspx
จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของการเยียวยาส่วนใหญ่ในประเทศต่างๆ จะเน้นเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน เน้นกระตุ้นการท่องเที่ยว ธุรกิจร้านค้า SME ในประเทศ ประคองให้เศรษฐกิจยังคงเดินต่อไปได้ ภายใต้วิถีการดำเนินชีวิตแบบใหม่ (New normal) ดังนั้นใครที่ติดตามประเด็นที่ทาง ทอท. เยียวยาผู้ประกอบการ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ น่าจะเข้าใจได้ดี การเยียวยาไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือทางออกให้กับเศรษฐกิจ เพื่อประคองผู้ประกอบการทุกภาคส่วนให้เดินหน้าไปต่อด้วยกันได้ครับ
อ่านต่อได้ที่ https://board.postjung.com/1414004
เลขไอพี : ไม่แสดง
| ตั้งกระทู้โดย MacOS
อ่านต่อ คุณอาจจะสนใจเนื้อหาเหล่านี้ (ความคิดเห็นกระทู้ อยู่ด้านล่าง)
ความคิดเห็น
จะต้องเป็นสมาชิกจึงจะแสดงความคิดเห็นได้
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google
เป็นสมาชิกอยู่แล้ว ลงชื่อเข้าใช้ระบบ
ยังไม่ได้เป็นสมาชิก สมัครสมาชิกใหม่
หรือจะลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google หรือ Facebook ก็ได้
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Facebook
ลงชื่อเข้าใช้ระบบด้วย Google